Cryptocurrency [-6-] 12 คำศัพท์น่ารู้ ในวงการคริปโต

date_range 26 ธ.ค. 2022
visibility 188 views

 

12 คำศัพท์น่ารู้ ในวงการคริปโต

___________________________________________

เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ในวงการคริปโต ก็จะมีศัพท์เฉพาะในวงการที่เราไม่ค่อยได้รู้จักเท่าไหร่มาให้ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ  หากสนใจก็ไม่ยากที่จะหาข้อมูลเลย เริ่มจากศัพท์พื้นฐานกันก่อน ได้แก่

  1. คริปโตเคอร์เรนซี (CRYPTOCURRENCY) : เริ่มด้วยคำนี้กันเลย คริปโตเคอร์เรนซี (CRYPTOCURRENCY) มาจาก CRYPTOGRAPHY + CURRENCY แปลตรงๆเลยก็คือ สกุลเงินเข้ารหัส” หรือที่เรียกสั้นๆกันว่า คริปโต (CRYPTO) หมายถึง สกุลเงินดิจิทัล หรือเรียกได้ว่าเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบของเงิน นั่นเอง
  2. เงิน FIAT (FIAT MONEY) : เงิน FIAT หรือ FIAT MONEY คือเงินที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ จับต้องได้ ใช้จ่ายได้ ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เป็นเงินที่จัดทำขึ้นโดยรัฐบาลของแต่ละประเทศ 

NOTE : แล้ว CRYPTOCURRENCY กับ FIAT MONEY ต่างกันอย่างไร ลองดูความต่างคร่าวๆที่เห็นได้ชัดกัน ก็คือ CRYPTOCURRENCY ไม่สามารถจับต้องได้ FIAT MONEY จับต้องได้, CRYPTOCURRENCY ทำงานอยู่ภายใต้ระบบบล็อกเชนที่ไม่มีตัวกลาง FIAT MONEY มีตัวอย่างอย่างรัฐบาล ธนาคารกลาง, CRYPTOCURRENCY ยังไม่สามารถใช้จ่ายได้ปกติแบบที่ FIAT MONEY เป็น และCRYPTOCURRENCY เป็นค่าเงินกลางที่เหมือนกันทั่วโลก แต่จะมีมูลค่าต่างไปเมื่อถอนออกมาเป็น FIAT MONEY เป็นต้น

  1. บิทคอยน์ (BITCOIN) : บิทคอยน์ BITCOIN (BTC) ที่เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่แรกของโลก ที่สร้างขึ้นบน BLOCKCHAIN ซึ่งไร้การถูกควบคุมของตัวกลางใดๆ อย่างรัฐบาล หรือธนาคาร

BITCOIN

  1. อัลคอยน์ (ALTCOIN) : ALTERNATIVE + COIN แปลได้ตรงตัวว่า เหรียญทางเลือก” ซึ่งก็จะหมายถึงเหรียญทุก ๆ เหรียญที่ไม่ใช่ BITCOIN นั่นเอง
  2. อีเธอะเรี่ยม (ETHEREUM) : ETHEREUM (ETH)เป็น ALTCOIN ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้สามารถใช้งานได้เหมือน BITCOIN แต่ได้ทำการแก้ไขให้ดีมากขึ้น โดยพัฒนาจากจุดด้อย ขอเสียของ BITCOIN เรียกได้ว่าเป็นเหรียญที่อัปเกรดมาอีก ซึ่งก็จะเห็นว่าสามารถใช้แลกเปลี่ยนได้สะดวกขึ้นด้วย และหลังจากที่ได้พัฒนา ETH ขึ้นมาได้ ก็มีเหรียญอื่นๆตามมาอีกมากมายเลยทีเดียว โดยวัตถุประสงค์ก็จะแตกต่างกันออกไปด้วย
  3. บล็อกเชน (BLOCKCHAIN) : BLOCK + CHAIN แปลตรงตัวก็คือ กล่องห่วงโซ่” ซึ่งหากอธิบายในความหมายก็คือ ระบบเครือข่ายการจัดเก็บบัญชีธุรกรรมทางออนไลน์ โดยจะสามารถเก็บข้อมูลการเคลื่อนไหวต่างๆ ไว้ในกล่องที่เชื่องโยงระบบบนเครือข่ายกัน ซึ่งหากนึกภาพจะมีลักษณะเรียงต่อๆ กันคล้ายกับห่วงโซ่ นั่นเอง ซึ่งเมื่อข้อมูลที่ถูกบันทึกนี้จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้อีก ถือว่าเป็นความโปร่งใสของระบบ ทั้งยังเป็นการทำธุรกรรมที่จะไม่ผ่านตัวกลางหรือไม่มีตัวกลางในระบบ อย่าง สถาบันการเงิน หรือธนาคาร แต่อย่างใด

 blockchain technology

  1. โทเค่น (TOKEN) : ถ้าจะแปลตรงตัว คำว่า TOKEN นั้นมาจากภาษาอังกฤษโบราณคำว่า TACEN” ซึ่งแปลว่า เครื่องหมาย, สัญลักษณ์ หรือ ชิ้นของเหรียญโลหะ หากจะแปลให้เข้าใจมากขึ้นสามารถเพิ่มคำว่า ของที่ระลึก หรือ เหรียญ ที่สมมุติมูลค่าขึ้นมาแทนเงิน ส่วนในการใช้ในคริปโตนั้น ก็ใช้ไปตามความหมายใกล้เคียงกัน คือ สิ่งสมมติแทนมูลค่าของโปรเจกต์นั้น ๆ (VIRTUAL CURRENCY) โดยมี 3 ลักษณะด้วยกัน ได้แก่
  • UTILITY TOKEN ซึ่งจะใช้ประโยชน์ได้เท่าที่ผู้เป็นเจ้าของโปรเจกต์โทเคนกำหนดเอาไว้เท่านั้น
  • PAYMENT TOKEN ใช้ในการชำระราคาสินค้าและบริการแทนเงินสด
  • ASSET TOKEN คล้ายๆกับการเป็น “ทรัพย์สิน” ซึ่งคนที่มีก็อาจจะได้ส่วนแบ่งกำไรในอนาคตถ้าโปรเจ็คนี้ทำกำไรก็ได้
  1. SMART CONTRACT : แปลตรงตัวเลยก็ คือ“สัญญาอัจฉริยะ” ซึ่งเป็นระบบที่ผู้ใช้งานสามารถสร้างเงื่อนไขได้ ทำให้หลายคนหันมาสนใจนำไปประยุกต์ใช้ในส่วนงานอื่นๆ และธุรกิจอื่นๆ ด้วย
  2. โฟร์ค (FORK) : แปลตรงตัวเลยก็คือ ส้อม หรือ คราด พอนำมาใช้งาน ก็จะเหมือนเป็นการที่แยกออกจากกัน ซึ่งในการทำงานของมันก็คือการแยก ส่วนของ BLOCKCHAIN ของเหรียญ ออกมา เพื่อให้เป็นส่วนที่เล็กลง และทำให้การทำงานเร็วขึ้น หรือเพิ่มความปลอดภัยของระบบเป็นส่วนๆไปได้มากขึ้น ซึ่งแบ่งเป็น 2 แบบ คือ SOFT FORK และ HARD FORK ความต่างก็คือ SOFT FORK เป็นการพัฒนาจากระบบเดิม ซึ่งเป็นการใช้งานไปด้วยกัน และไม่กระทบกับระบบหลัก ส่วน HARD FORK คือเป็นการแยกออกมาจากระบบเดิมเลย ไม่ได้ใช้อะไรร่วมกับตัวเดิม อย่างการสร้างเหรียญใหม่ออกมาเลยก็ใช่เช่นกัน
  3. DECENTRALIZED : เป็นเครื่องมือหลักที่ทำให้คริปโต เป็นเงินดิจิตัล ที่เป็นอิสระและไม่ขึ้นกับตัวกลางอย่างธนาคาร หรือ องค์กรการเงินอื่นๆ ที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นระบบกระจายอำนาจในการตรวจสอบธุรกรรมการเงิน ซึ่งโดยระบบแล้วอาจจะสามารถแยกออกมาได้เลย แต่ในทางปฏิบัติแล้วก็ยังไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนากันต่อไป ทั้งเทคโนโลยีกับการใช้งานของมนุษย์เอง
  4. CRYPTO WALLET : เป็นตัวกลางที่ทำให้เราสามารถเข้าไปดูข้อมูลและทำธุรกรรมในบัญชีที่จัดเก็บคริปโตได้ เพราะเป็นโปรแกรมที่เอาไว้จัดเก็บคีย์ส่วนตัวของผู้ใช้เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และสามารถช่วยในการรับและโอนเงินดิดอลได้ด้วย

CRYPTO WALLET

  1. EXCHANGE : เป็นแพลตฟอร์ม ที่ไว้สำหรับการซื้อ-ขายคริปโตนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันก็เรียกได้ว่ายังมีรัฐบาล หรือธนาคาร หน่วยงานด้านการลงทุนของแต่ละประเทศเข้ามากำกับดูแลอยู่ แต่ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ในอนาคตนั้น มีความเป็นอิสระอย่างสิ้นเชิง กระดานที่ไม่มีใครมากำกับ ก็ต้องรออนาคตกันต่อไป

น่าสนใจ

RELATED NEWS